😎การพัฒนางาน😎
💘หลักการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ💘
งานเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
ทุกคนทำงานก็เพื่อปรรถนาเพื่อจะให้งานของตนเองก้าวหน้า
มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อองค์การ ต่อสังคม และครอบครัวโดยส่วนรวม
งานในที่นี้ย่อมหมายถึงงานในรูปของสินค้าหรือบริการ
ซึ่งอาจจะมีหลากหลายชนิดด้วยกัน เช่น งานอุตสาหกรรมในครอบครัว
ที่ผลิตออกมาในรูปของสินค้า OTOP
งานในองค์การรือบริษัท
ทั้งนี้งานแต่ละประเภทที่จำเป็นต้องมีปัจจัยต่างๆ เช่น กลยุทธ์และเทคนิคในการทำงาน
การสร้างแรงจูงใจในการทำงานและการมีทีมการและการทำงานเป็นทีมทเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพโดยใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุดและผลปลิตหรือบริการนั้นต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ทุกประการ
การพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพนั้น
กลยุทธ์และเทคนิครวมทั้งวิธีการทางเทคโนโลยี ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่ง
ที่จะช่วยผลักดันองค์การ บุคลากร
และงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้โดยใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด
ไม่ว่าจะเป็นทรพยากร ระยะเวลา แรงงาน และวัสดุต่างๆ ที่นำมาใช้ในการทำงานจนเกิดสัมฤทธิผล
ความหมายของเทคนิคกลยุทธ์และเทคนิคนั้นมีนักวิชาการหลายท่านได้อธิบายความหมายไว้
ซึ่งพอจะยกเป็นต้วอย่างได้ดังนี้
👉กลยุทธ์ คือ การกำหนดวิสัยทัศน์
การกำหนดเป้าหมายระยะยาวที่แน่ชัด มีการวิเคราะห์อนาคตและคิดเชิงการแข่งขัน ระบบการทำงานที่มีความสามารถในการปรับตัวสูงสำหรับการทำงานในสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้ทัทนดับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีระบบการทำงานที่คล่องตัว
มีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงนำไปสู่เป้าหมายในอนาคตสามารถเผชิญกัยการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเพื่อความอยู่รอดและความก้าวหน้าขององค์การของหน่วบยงานหรือของธุรกิจเอกชนในอนาคต
👉เทคนิค คือ
ศิลปะหรือกลวิธีเฉพาะวิชานั้นๆ การทำงานหากขาดพลังหรือแรงจูงใจในการทำงานแล้ว
อาจมีผลทำให้การทำงานขาดชีวิตชีวาและน่าเบื่อ ดังนั้น
เราจะทำอย่างไรที่จะให้ชีวิตการทำงานในแต่ละวันของเรามีความสดชื่นและตื่นตัวอยู่เสมอ
ก่อนอื่นเราควรทราบถึงสาเหตุหรือที่มาของแรงจูงใจเป็นลำดับแรก เพื่อที่จะได้หาวิธีการในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นต่อไป
เช่น อาจจะเนื่องมาจากความต้องการหรือแรงขับ
หรือสิ่งเร้าใจหรือภาวะการตื่นตัวในบุคคล หรืออาจจะเนื่องมาจากการคาดหวัง
ปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการบริหารงานให้เกิดประโยชน์และประสิธิภาพสูงสุดที่ทำให้บุคลากรหรือพนักงานมีกำลัง
เต็มใจและตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ
ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพนั้นคือ การจูงใจ ทั้งนี้ถ้าบุคคล บุคลากร หรือพนักงาน
ได้รับการจูงใจแล้วจะส่งผลให้เต็มใจที่จะมุ่งมั่น สละเวลา
กำลังที่จะผลักดันหรือผลปลิตออกมาดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การทำงานหากขาดพลังหรือแรงจูงใจในการทำงานแล้ว
อาจมีผลทำให้การทำงานขาดชีวิตชีวาและน่าเบื่อ ดังนั้น เราจะทำอย่างไรที่จะให้ชีวิตการทำงานในแต่ละวันของเรามีความสดชื่นและตื่นตัวอยู่เสมอ
ก่อนอื่นเราควรทราบถึงสาเหตุหรือที่มาของแรงจูงใจเป็นลำดับแรก
เพื่อที่จะได้หาวิธีการในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นต่อไป เช่น
อาจจะเนื่องมาจากความต้องการหรือแรงขับ หรือสิ่งเร้าใจหรือภาวะการตื่นตัวในบุคคล หรืออาจจะเนื่องมาจากการคาดหวัง
💘ความต้องการ (need)💘
ความต้องการ(need)เป็นสภาพที่บุคคลขาดสมดุลเกิดแรงผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อสร้างสมดุลให้ตัวเองเช่นคนที่รู้สึกเหนื่อยล้าจะแสดงพฤติกรรมด้วยการนอนหรือนั่งพักหรือเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนอิริยาบถดูหนังฟังเพลงฯลฯ คนที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวจะมีความต้องการความรักความสนใจจากผู้อื่นเป็นแรงผลักดันให้คนๆนั้น
กระทำการบางอย่างเพื่อให้ได้รับความรักความสนใจเช่นส่งเสียงดังร้องไห้ฯลฯความต้องการมีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรม
กล่าวได้ว่าสิ่งที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อบรรลุจุดหมายปลายทางที่ต้องการนั้น
ส่วนใหญ่เกิดเนื่องมาจากความต้องการของบุคคล ความต้องการในคนเรามีหลายประเภท
นักจิตวิทยาได้อธิบายเรื่องความต้องการพื้นฐานของมนุษย์และได้จำแนกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ความต้องการทางกาย (physical
needs) เป็นความต้องการที่เกิดจากธรรมชาติของร่างกาย
เช่น ต้องการกินอาหาร หายใจ ขับถ่ายของเสีย การเคลื่อนไหว พักผ่อน
และต้องการทางเพศ ความต้องการทางกายทำให้เกิดแรงจูงใจให้บุคคลกระทำการเพื่อสนองความต้องการดังกล่าวเรียกแรงจูงใจที่เกิดจากนี้ว่าแรงจูงใจทางชีวภาพ หรือทางสรีระ (biological motives)
-ความต้องการทางสังคมหรือความต้องการทางจิตใจ(social or psychological needs) เป็นความต้องการที่เกิดจากการเรียนรู้ทางสังคม
เช่น ต้องการความรัก ความมั่นคง ความปลอดภัย การเป็นที่ยอมรับในสังคม
ต้องการอิสรภาพ ความสำเร็จในชีวิต และตำแหน่งทางสังคม
ความต้องการทางสังคมหรือทางจิตใจดังกล่าวนี้
เป็นเหตุให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางได้เพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการดังกล่าวคือทำให้เกิดแรงจูงใจที่เรียกว่า
แรงจูงใจทางสังคม(social motives)
💘สิ่งล่อใจ (incentives)💘
สิ่งล่อใจ (incentives) เป็นสิ่งชักนำบุคคลให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้จัดเป็นแรงจูงใจภายนอก เช่น
การชักจูงให้คนงานมาทำงานอย่างสม่ำเสมอ โดยยกย่องพนักงานที่ไม่ขาดงานให้เป็นที่ปรากฏ
การประกาศเกียรติคุณ
หรือการจัดสรรรางวัลในการคัดเลือกพนักงานหรือบุคคลดีเด่นประจำปี การจัดทำเนียบ "Top Ten" หรือสิบสาขาดีเด่นขององค์การ
การมอบโล่รางวัลแก่ฝ่ายงานที่มีผลงานยอดเยี่ยมในรอบปี ฯลฯ ตัวอย่างที่ยกมาเหล่านี้
จัดเป็นการใช้สิ่งล่อใจมาสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้เกิดแก่พนักงานขององค์การทั้งสิ้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่าสิ่งล่อใจนั้น อาจเป็นวัตถุ เป็นสัญลักษณ์
หรือเป็นคำพูดที่ทำให้บุคคลพึงพอใจ
💘การตื่นตัว (arousal)💘
การตื่นตัว (arousal) เป็นภาวะที่บุคคลพร้อมที่จะแสดงพฤติกรรม
สมองพร้อมที่จะคิด กล้ามเนื้อพร้อมที่จะเคลื่อนไหว
นักกีฬาที่อุ่นเครื่องเสร็จพร้อมที่จะแข่งขันหรือเล่นกีฬา
พนักงานต้อนรับที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้า ฯลฯ
ลักษณะดังกล่าวนี้เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ที่ติดเครื่องพร้อมจะทำงานบุคลากรในองค์การถ้ามีการตื่นตัวในการทำงาน ย่อมส่งผลให้ทำงานได้ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาธรรมชาติ พฤติกรรมของมนุษย์พบว่า การตื่นตัวมี 3 ระดับ คือ การตื่นตัวระดับสูง
การตื่นตัวระดับกลาง และการตื่นตัวระดับต่ำ ระดับที่นักจิตวิทยาค้นพบว่าดีที่สุด
ได้แก่ การตื่นตัวระดับกลาง
ถ้าเป็นการตื่นตัวระดับสูงจะตื่นตัวมากไปจนกลายเป็นตื่นตกใจ หรือตื่นเต้น
ขาดสมาธิในการทำงาน ถ้าตื่นตัวระดับต่ำก็มักทำงานเฉื่อยชา ผลงานเสร็จช้า
และจากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ทำให้บุคคลตื่นตัว มีทั้งสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัว
ได้แก่ ลักษณะส่วนตัวของบุคคลแต่ละคนที่มีต่าง ๆ กัน ทั้งในส่วนที่เป็นบุคลิกภาพ
ลักษณะนิสัยและระบบสรีระภายในของผู้นั้น
💘การคาดหวัง (expectancy)💘
การคาดหวัง (expectancy) เป็นการตั้งความปรารถนาหรือการพยากรณ์ล่วงหน้าของบุคคลในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปตัวอย่างเช่น
การที่คนงานคาดหวังว่าพวกเขาจะได้รับโบนัสประจำปีสัก 4-5 เท่าของเงินเดือนการคาดหวังดังกล่าวนี้
ส่งผลให้พนักงานดังกล่าวกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา
ซึ่งบางคนอาจจะสมหวังและมีอีกหลายคนที่ผิดหวัง ในชีวิตจริงของคนเราโดยทั่วไป
สิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นมักไม่ตรงกันเสมอไป
ช่วงห่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ถ้าห่างกันมากก็อาจทำให้คนงานคับข้องใจ และเกิดปัญหาขัดแย้งอื่น ๆ ตามมา
เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารงานจึงควรระมัดระวังในเรื่องดังกล่าว
ที่จะต้องมีการสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในกันและกัน
การสร้างความหวังหรือการปล่อยให้พนักงานคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ
โดยที่สภาพความเป็นจริงทำไม่ได้ อาจจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากที่คาดไม่ถึงในเวลา
คนต้องการมีสังคมและอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มคนจึงต้องสังกัดอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในด้านการทำงานถ้าสามาถทำงานเป็นกลุ่มได้ทำให้องค์การมีประสิทธิภาพอันนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตในการทำงานความสำเร็จขององค์การ ย่อมต้องประกอบด้วยทีมงานต่างๆหลายประเภทและหลายลักษณะซึ่งเป็นทีมงานที่มีประสิทธิภาพอันนำไปสู่ความสำเร็จและการบรรลุผลตามเป้าหมายขององค์การ
💘ความหมายของทีมงาน💘
ทีมงาน(Team Work)หมายถึงกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิดและคงความสัมพันธ์อยู่ค่อนข้างจะถาวรซึ่งประกอบด้วยหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานโดยร่วมกันทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของทีมงาน
💘ความหมายของการทำงานเป็นทีม💘
การทำงานเป็นทีม
เป็นความร่วมมือร่วมใจของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกันโดยต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ (3P) ได้แก่
©
มีวัตถุประสงค์ (Purpose) ต้องชัดเจน
©
มีการจัดลำดับความสำคัญ (Priority) ในการทำงาน
💘ความสำคัญของการสร้างทีมงาน💘
ในแง่ของการทำงานเป็นทีมคือการที่บุคคลตั้งแต่2คนขึ้นไปมาทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็การปฏิบัติงานต่างก็ได้รับความพอใจในผลงานนั้นๆประโยชน์มีมากมายยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่นการแข่งขันกีฬาไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล วอลเลย์บอล
หรือตะกร้อที่จะต้องทำงานประสานกันเป็นทีมถ้าไม่มีการวางแผนหรือมีการที่จะทำให้การประสานการเป็นทีมชัยชนะก็จะไม่เกิดยกตัวอย่างอย่างเล่นฟุตบอลง่ายๆ
ฉะนั้นประโยชน์ของการทำงานเป็นทีมสมาชิกในทีมจะต้องได้มีการพัฒนาเต็มความสามารถของตน
ได้รับเปลี่ยนความรู้ ทักษะ
ประสบการณ์กับเพื่อนร่วมทีมทำให้เกิดการเรียนรู้การรับฟังความคิดเห็นและการสื่อสารกัน
💘ประโยชน์ของการทำงานเป็นทีม💘
👉1.ช่วยให้การทำงานเป็นระบบที่ดี
มีการแล่งงานตามหน้าที่และความรับผิดชอบทำให้งานบรรลุเป้าหมายตามที่กลุ่มและทีมงานรับผิดชอบ
👉2.ช่วยให้มีการนำหลักมนุษย์สัมพันธ์มาใช้ในกลุ่มและทีมงาน
เช่น การรู้เรา รู้เขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา งานของกลุ่มและทีมงานจะดำเนินไปด้วยดี
👉3.ช่วยให้เกิดรู้รักสามัคคีระหว่างสมาชิกของกลุ่มและทีมงาน
ในการทำงานให้ประสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
👉4.ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานกลุ่มและทีมงาน
ตามมาตรฐานการทำงาน โดยอาศัยกลุ่มหรือสภาพแรงงานเป็นตัวแทนให้แก่พนักงาน
👉5.ช่วยให้เกิดความมั่นคงในอาชีพเนื่องจากการทำงานเป็นกลุ่มหรือทีมงาน
จะก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นของมวลสมาชิกในกลุ่มหรือทีมงาน
อันจะก่อให้เกิดความเกรงใจของคณะผู้บริหารที่มีต่อกลุ่มหรือทีมงาน
👉6.ช่วยให้เกิดความรู้สึกการยอมรับนับถือของสมาชิกในทีมงานที่เรียกว่า
คารวธรรม มีการเคารพนับถือเป็นพี่เป็นน้อง ก่อให้เกิดการถ้อยทีถ้อยอาศัย
สืบค้นเมื่อ 20/12/60
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น